วันจันทร์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ไวน์


ไวน์
(Wine)











ประเทศฝรั่งเศสเป็นถิ่นกำเนิดไวน์ชั้นเยี่ยม อาทิ แชมเปญ บอร์โดซ์ เบอร์กันดี และไม่มีประทศใดในโลกที่สามารถผลิตไวน์ได้หลากหลายชนิดเท่าฝรั่งเศส ไวน์เป็นสัญญลักษณ์เฉพาะของงานเลี้ยง ดังนั้นการเรียนรู้วิธีเสิร์ฟไวน์ที่ถูกต้อง และการลิ้มรสไวน์ให้ได้รสชาติอย่างแท้จริง เพื่อเข้าใจในคุณค่าของไวน์
การเตรียม ไวน์ ให้ได้รสชาติอย่างแท้จริง จำเป็นที่จะต้องให้ไวน์สร้างความรู้สึกในปากของเรา ขึ้นอยู่กับสี กลิ่น และรสชาติของไวน์
ไวน์ขาวรสหวาน แชมเปญ และสปาร์คคลิ่งไวน์ ควรจะเสิร์ฟที่อุณภูมิระหว่าง 6 ถึง 8 องศาเซลเซียส หากอุณหภูมิต่ำกว่านี้กลิ่นหอมก็จะถูกเก็บกับกไว้ ไวน์จะไม่สามารถ"หายใจ"ได้ และกลิ่นหอมของดอกไม้ก็จะถูกกักไว้ ส่วนไวน์ชนิดดรายและไวน์โรเช่ ควรจะเสิร์ฟขณะเย็น แต่ไม่ควรเป็นน้ำแข็ง หรือเย็นจัดจนเกินไป กล่าวคือ ควรเสิร์ฟที่อุณหภูมิ สูงกว่าไวน์ชนิดที่กล่าวมาแล้วข้างต้นที่อุณหภูมิระหว่าง 8 ถึง 12 องศาเซลเซียส
ไวน์แดงรสเบา จะมีรสชาติดีที่สุดที่อุณหภูมิระหว่าง 12 ถึง 14 องศาเซลเซียส
ไวน์แดงรสหนัก ควรเสิร์ฟที่อุณหภูมิห้อง คือ อุณหภูมิของห้องที่เย็นปานกลาง ระหว่าง 15 ถึง 18 องศา
เคล็ดลับของ ไวน์
ไวน์ที่เก็บบ่มน้อยปี ควรเสิร์ฟให้เย็นกว่าไวน์ที่เก็บบ่มไว้นานปี
มักจะนิยมเสิร์ฟไวน์ที่เย็นกว่าอุณหภูมิที่แนะนำ เพราะเมื่ออยู่ในแก้วไวน์จะอุ่นขึ้นอย่างรวดเร็ว
การเตรียมล่วงหน้าว่าจะเสิร์ฟไวน์ชนิดใดเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากจะต้องค่อยๆ ปล่อยให้ไวน์อยู่ในอุณหภูมิที่เหมาะสม โดยไม่ให้มีการปะทะกับความร้อนจัด หรือเย็นจัดโดยทันที
อุณหภูมิที่เหมาะสมในการเก็บไวน์



ไวน์ขาว ไม่ควรเสิร์ฟขณะเป็นน้ำแข็ง หรือเย็นจัดเกินไป
ไวน์แดง ไม่ควรเสิร์ฟอุ่นเกินไป "การทำให้อุ่น" จนถึงระดับอุณหภูมิห้องมิได้หมายถึงการอุ่นให้ร้อน
ไม่ควรอุ่นไวน์ชั้นดี ที่เก็บบ่มนานปีโดยทันทีทันใด เช่น การแช่ขวดลงในน้ำร้อน
ไม่ควรวางขวดไวน์บนเครื่องทำความร้อน
การเปิดขวด ไวน์
ไวน์ขวดพิเศษซึ่งได้รับการเลือกสรรเป็นอย่างดีเพื่อเสิร์ฟบนโต๊ะอาหาร จะถูกเก็บไว้ในที่สงบเป็นเวลาหลายวัน พ้นจากแสงแดด และความร้อนที่อุณหภูมิคงที่ 10 ถึง 15 องศาเซลเซียส โดยเฉพาะถ้าเป็นไวน์แดงชั้นเยี่ยม
ก่อนที่จะนำเสนอให้แขก ควรจะตรวจดูว่ามีตะกอนที่มองเห็นได้ชัดอยู่ในขวดหรือไม่ ถ้าไม่มีท่านก็ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ดีแคนเตอร์ (Decanter) หรือตะกร้าไวน์(Cradle) ในการเสิร์ฟ
ถ้าเป็นไวน์ชนิดที่เก็บมานานมักจะมีเศษตะกอนแทนนิค (Tannic) ซึ่งเป็นเครื่องแสดงคุณภาพสูงของไวน์ ที่มักจะปรากฎอยู่ภายในขวด ในกรณีนี้ควรระวังให้มีการขยับขวดน้อยที่สุด และควรจะวางขวดในแนวนอน
การเปิดขวดไวน์นับเป็นงานที่ละเอียดอ่อนมาก และควรกระทำด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง ควรใช้ที่เปิดขวดไวน์ (Corkscrew) ที่มีคุณภาพดีเท่านั้น
ค่อยๆ ตัดพลาสติกหรือแผ่นโลหะที่หุ้มคอขวดบริเวณด้านล่างขอบปากขวด ขณะรินไวน์ไม่ควรสัมผัสบริเวณนี้ โดยทั่วไปแล้วจะตัดแต่ส่วนขอบปากขวดออก และเหลือส่วนที่หุ้มคอขวดไว้
หลังจากนั้นใช้ผ้าสะอาดเช็ดขอบปากขวด (หรือที่ซอมเมอลิเยร์ เรียกว่า Liteau) เมื่อเจาะสกรูลงไปบริเวณศูนย์กลางของจุกคอร์ก ขณะหมุนสกรูลง ระวังอย่าดันจุกคอร์กให้หลุดลงไปในขวด จากนั้นดึงขึ้นในแนวตรง ระวังอย่าให้จุกคอร์กขาด ไวน์ชั้นเยี่ยมที่ต้องเก็บไว้นานๆ มักมีจุกคอร์กยาวกว่าไวน์ธรรมดา
ก่อนที่จะรินไวน์หยดแรกลงในแก้ว ควรใช้ผ้าสะอาดเช็ดขอบปากขวดอีกครั้ง ถ้ามีรสของจุกคอร์กควรจะส่งคืนพนักงานไปทันที
ในการเปิดขวดแชมเปญ หรือสปาร์คคลิ่งไวน์ ขั้นแรก ต้องค่อย ๆ ดึงลวดที่ผูกปากขวด (Wire Cage) ออกเสียก่อน
ขั้นต่อไป เอียงขวดทำมุม 45 องศา ใช้มือข้างหนึ่งจับไว้ที่จุกคอร์ก และมืออีกข้างจับบรเวณก้นขวด หมุนไป-กลับ 90 องศาจนกอร์กค่อยหลุดออก ด้วยวิธีนี้แก๊สจะค่อยลอดผ่านออกมา โดยไม่ทำให้จุกคอร์กกระเด็น และไม่เสียไวน์ที่ไหลเลอะเป็นฟองออกมาอีกด้วย
ก่อนเสิร์ฟไวน์ เช็ดขอบปากขวดด้วยผ้าสะอาด ในการเสิร์ฟ รินไวน์เพียงเล็กน้อยลงในแก้วทุกใบ พักสักครู่ก่อนจะรินเติมให้ได้ระดับ 2/3 ของแก้ว
การเลือกแก้ว ไวน์
ไวน์ชั้นดีย่อมคู่ควรกับแก้วที่เหมาะสม แม้ว่าจะมีแก้ไวน์อยู่หลายรูปทรงด้วยกันที่ใช้ในการดิ่มไวน์ชนิดพิเศษของแต่ละแคว้น หรือไวน์ชั้นยอด "Appellations" ลักษณะเฉพาะของแก้วดังต่อไปนี้จะมีส่วนช่วยในการดื่มไวน์ให้ได้รสชาติยิ่งขึ้น
ควรเลือกแก้วเนื้อบางไม่มีสีและใส เพื่อโชว์สิ่งที่ซอมเมอร์ลิเยร์เรียกว่าอาภรณ์ หรือ ร็อบ ของไวน์ นั่นคือ สี ความใส และลักษณะทั่วไปของไวน์
รูปทรงของแก้ว ควรพองออกด้านข้าง ส่วนปากแคบเข้าเล็กน้อย เพื่อกลิ่นหอมของไวน์จะรวมตัวกระจายขึ้นด้านขนของแก้ว และทำให้รับรู้กลิ่นบูเกต์ (Bouquet) ได้ดีขึ้น
ขนาดของแก้วควรใหญ่พอสมควร เพื่อให้เสิร์ฟไวน์ได้ในปริมาณพอเหมาะ โดยไม่เกินระดับ 2/3 ของแก้ว
แก้วชนิดมีก้านยาวประมาณ 4-5 ชม. จะจับถนัดมือกว่า และไวน์จะไม่สัมผัสกับความร้อนจากมือ
แก้วที่ใช้ควรใสสะอาดหมดจด ไม่มีรอยลิปสติก รอยนิ้วมือ ฝุ่น หรือรอยขีดข่วน เช็ดและขัดเงาแก้วด้วยผ้าแห้งที่สะอาดก่อนจะนำออกมาใช้เสมอ
วิธีการวางแก้วบนโต๊ะอาหาร
สำหรับแขกแต่ละท่าน ควรงางแก้วน้ำ 1 ใบ และแก้วไวน์ 1 ใบ ต่อชนิดของไวน์ที่จะเสิร์ฟหรืออย่างน้อย วางแก้วไวน์ตามสีของไวน์ (1 ใบต่อ 1 สี)
การวางแก้วควรเรียงลำดับตามความสูงของแก้วจากสูงไปหาต่ำนับจากด้านซ้ายมือ แก้วไวน์ขาวจะเล็กกว่าแก้วไวน์แดง แก้วน้ำควรวางด้านซ้ายมือ
การรินไวน์และเสิร์ฟไวน์


ทุกคนสามารถเป็นผู้ชำนาญในการรินไวน์และเสิร์ฟไวน์ได้ เพียงปฏิบัติตามเทคนิคดังนี้
ขณะรินไม่ควรให้มือบังฉลากไวน์ เพราะถือว่าฉลากไวน์เป็นเครื่องตกแต่งของไวน์ และเป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งที่ควรชื่นชม โดยฉลากไวน์ควรหันเข้าหาผู้ที่เรากำลังเสิร์ฟ
ให้ปากขวดอยู่ใกล้กับแก้วแต่มิให้สัมผัสโดนแก้ว เพื่อให้ไวน์ไหลลงแก้วอย่างนุ่มนวล โดยไม่กระเซ้นออกนอกแก้ว
ระวังอย่าให้ไวน์หยดลงบนโต๊ะเมื่อรินเสร็จ ซึ่งสามารถหลีกเลี่ยงได้ โดยบิดขวดเล็กน้อย และยกปากขวดขึ้นจากแก้ว เช็ดปากขวดเสียก่อนที่จะเสิร์ฟให้แขกท่านต่อไป
ไม่ควรรินไวน์เกินระดับ 2/3 ของแก้ว
สำหรับแชมเปญ และสปาร์คคลิ่งไวน์ใช้เทคนิคเดียวกันนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้ฟองไวน์ไหลล้นออกมาเลอะเทอะ แต่จะต้องใช้ความนุ่มนวนในการริน ค่อย ๆ รินอย่างช้าๆ
การเลือกไวน์ในภัตตาคาร
ไวน์เชลล่าร์(Wine Cellar)เป็นส่วนสำคัญในการเก็บไวน์ให้อยู่ในอุณหภูมิที่เหมาะสม ไวน์ที่ท่านเลือกควรมีการนำไปทำให้อยู่ในอุณหภูมิที่เหมาะสมก่อนเสิร์ฟ
ไวน์ลิสต์(Wine List) ในไวน์ลิสต์ ไวน์ต่างชนิดจะถูกแบ่งตามชนิด และแคว้นที่ผลิต โดยจะระบุชื่อ "ชาโต" (Chateau) หรือ โดเมน (Domaine) พร้อมทั้งจำนวนปีที่เก็บบ่ม และราคา
การชิมไวน์
เขตพื้นที่ที่มีการปลูกองุ่นในประเทศฝรั่งเศสครอบคลุมพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล จากเหนือจรดใต้ จากตะวันออกจรดตะวันตก ระยะห่างนี้ก่อให้เกิดความแตกต่างระหว่างเขตพื้นที่ ซึ่งมีผลต่อลักษณะของดินที่ใช้ปลูกองุ่น ทิศทางที่หันเข้าหาดวงอาทิตย์และภูมิอากาศ และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ว่าเหตุใดไวน์ที่ได้จากเขตเพาะปลูกองุ่น จึงมีลักษณะเฉพาะตัวที่ต่างกันออกไป
ประเทศฝรั่งเศสให้ผลผลิตไวน์นานาชนิดแก่นักชิมไวน์ทั้งหลาย คือมีไวน์ appellations กว่า 400 ชนิด และแว็งเดอเปยี อีกมากมายหลายชนิดด้วยกัน ซึ่งมีสีสัน รสชาด และลักษณะเฉพาะตัวให้เลือกตามรสนิยม และความพอใจอย่างเหลือเฟือ
สุดท้ายนี้ดิฉันหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกท่านจะจิบไวน์อย่างได้รสชาดและกลิ่นหอมนุ่มของไวน์ ด้วยความเพลิดเพลินและจิบเพื่อสุขภาพเท่านั้นเป็นพอ

La Loire

La Loire





Pays de la Loire is a region of western France, comprising the departments of Loire-Atlantique (44), Maine-et-Loire (49), Mayenne (53), Sarthe (72) and Vendée (85). It has an area of 32,082 km2 (12,387 mi2) and a population of 3,222,061 (1999); the capital is Nantes. Pays de la Loire has a long coast on the Bay of Biscay to the west and is bordered by Brittany to the north and west, Lower Normandy to the north, Centre to the east, and Poitou-Charentes to the south.


Departments of Pays de la Loire
The region is cut from east to west by the Loire River. The Loire Valley (French: Val de Loire) is central to the region's economy and its cultural and educational activities. Due to its rich heritage, this region has been declared a World Heritage for Humanity Site by UNESCO, which described it as a "cultural landscape of exceptional beauty."
Pays de la Loire has an abundance of small farms, and the predominant agricultural pursuit is the raising of cattle and pigs and the making of dairy products. Its Atlantic coast is the site of a number of fishing and shipping ports, and ducks are also raised in this area. Iron and uranium are mined in Pays de la Loire, and its industries produce motor vehicles, ships, and textiles. Historically, Pays de la Loire was divided among the provinces of Brittany, Anjou, Maine, and Poitou (now in Poitou-Charentes).

วันอังคารที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2551

Jour de l'an

Jour de l'An

Le Jour de l'an[1] est le premier jour de l'année d'un calendrier donné. Par extension le terme désigne aussi les célébrations de ce premier jour.
Pour les calendriers solaires (comme le
calendrier grégorien), la date du Jour de l'an est fixe d'une année sur l'autre, alors qu'elle est dite mobile dans le cas des calendriers luni-solaire (comme le calendrier chinois).

Noël

Noël



Noël est une fête chrétienne célébrant chaque année la naissance de Yeshoua, fils de Marie, dont le nom araméen a été traduit en français par Jésus de Nazareth. Cette naissance est aussi appelée Nativité.
Sa célébration à la date du
25 décembre a été fixée tardivement dans l'empire romain d'occident vers le milieu du IVe siècle. La royauté du Christ n'étant pas de ce monde, certains comme Origène (milieu du IIIe siècle) refuse de célébrer cete naissance ainsi qu'on le faisait à l'époque pour un souverain temporel (roi, empereur, pharaon). Avant de la placer à la date d'une la célébration solaire liée au solstice d'hiver[1] plusieurs dates furent proposées : 18 novembre, 6 janvier... Le 25 décembre marquait depuis Aurélien (v.270) l'anniversaire du Sol Invictus et de la renaissance annuelle de Mithra , [2]. Pour des raisons symboliques, et dans un souci de christianiser les anciennes fêtes païennes, cette date fut progressivement étendue à tout l'occident latin. Les Églises orthodoxes, qui suivent le calendrier julien, célèbrent Noël le 6 janvier, mais seule l'Église Arménienne a conservé la date précise du 6 janvier comme jour de la fête de Noël[3],
Constituant avec
Pâques une des grandes fêtes chrétiennes, Noël est s'est progressivement chargé de traditions locales, mélanges d'innovations et de maintien de folklore ancien, au point de présenter l'aspect d'une fête profane populaire possédant de nombreuses variantes, dans le temps comme dans l'espace. L'association de la mémoire d'une naissance a facilité la place centrale prise par la famille dans le sens et le déroulement de cette fête. L'Église catholique romaine insiste par exemple sur cet aspect depuis l'instauration en 1893 de la fête de la Sainte Famille, le dimanche suivant le 25 décembre. Les cadeaux, sous forme d'étrennes, semblent être une réminiscence des cadeaux effectués lors des fêtes saturnales de décembre (strenae) [4] Le don est présent dans de nombreuses traditions, comme celle de servir une repas au premier pauvre croisé au jour de Noël, ou dans l'exceptionnelle générosité des aumônes accordées aux mendiants à la sortie de l'office célébré durant la nuit de Noël. « La période de Noël, qui est très chargée cérémoniellement, possède une certaine intensité rituelle. Même si nous vivons fondamentalement dans une société marchande, il y a dans cet échange de cadeaux quelque chose qui est de l'ordre du don et qui est universel dans son principe: ils créent, maintiennent et consolident des liens; ils constituent en quelque sorte une matrice du social.», [5].
La popularité de cette fête a fait que
Noël est devenu un patronyme et un prénom.